หุ้น IPO น้องใหม่ SHR

หุ้นน้องใหม่อย่าง SHR เข้าซื้อขายวันแรกนั้นราคาตกลง 20% โดย CEO ของบริษัทแม่ของ SHR ได้กล่าวว่านักลงทุนกังวลเรื่องงบของบริษัทที่ขาดทุน
บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ราคาไอพีโอที่ 5.20 บาท ไม่ได้แพงเกินไป แม้จะมีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ถึง 165.40 เท่า เทียบอุตสาหกรรมที่ระดับเพียง 30 เท่า แต่ราคาไอพีโอที่ 5.20 บาท เท่ากับราคามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value per Share) สะท้อนว่านักลงทุนมีโอกาสเข้าลงทุนในราคาเดียวกันกับบริษัท ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว

“ก่อนเข้าตลาดเรามีค่าใช้จ่ายพิเศษครั้งเดียวหลายรายการ ส่งผลต่องบการเงิน ทำให้ราคาไอพีโอมีค่าพีอีสูงกว่าอุตสาหกรรม แต่ราคาดังกล่าวเท่ากับ Book Value ของบริษัท ถือว่าไม่แพง นักลงทุนมีโอกาสซื้อหุ้น Growth Stock ในราคาเดียวกันกับบริษัท ซึ่งมั่นใจว่า SHR จะเติบโตโดดเด่นอย่างน้อยอีก 5 ปีข้างหน้าทั้งรายได้และกำไร ซึ่งตอนนั้น P/E จะปรับลดลงมาเอง” นายนริศกล่าว ราคาหุ้น SHR ที่ต่ำกว่าราคา IPO อาจจะเป็นจังหวะที่ไม่ดี เนื่องมาจากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 299 ล้านบาท จากโครงการในประเทศมัลดีฟ อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียว และมั่นใจว่าหุ้น SHR เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตและเหมาะสำหรับการถือลงทุนระยะยาว โครงสร้างผู้ถือหุ้นปัจจุบันนั้น บมจ.สิงห์ เอสเตท เป็นผู้ถือหุ้นใน บมจ. เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท สัดส่วน 60% และเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปด้วยสัดส่วน 40% ได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปทั้งสิ้น 7,475 ล้านบาท สำหรับ SHR ประกอบธุรกิจหลักด้านการลงทุนและบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ท โดยเน้นลูกค้าระดับบนเป็นหลัก ในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมระดับโลก เช่น ไทย ฟิจิ มัลดีฟ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีการร่วมทุนกับหุ้นส่วนในการเป็นเจ้าของโรงแรมในสหราชอาณาจักร ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 4,647 ห้อง จากโรงแรมและรีสอร์ท จำนวน 39 แห่ง ภายใต้รูปแบบการบริหารจัดการเอง และภายใต้แบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง เช่น Mercure, Holiday Inn, Hardrock รวมไปถึง Hilton เป็นต้น

นายนริศกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไร 5 ปีข้างหน้า (2563-2567) เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี มาจากการเติบโตทรัพย์สินปัจจุบันของบริษัทฯ (Organic Growth) และการเข้าซื้อกิจการ (Merger and Acquisition) โดยวางงบงบลงทุนไว้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี สำหรับการลงทุนโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ พร้อมวางเป้าหมายขยายโรงแรมไว้ที่ 80 แห่งในปี 2568 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 39 แห่ง โดยจะใช้เงินลงทุนจากเงินระดมทุนไอพีโอ ขณะเดียวกันหลังเข้าจดทะเบียนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนของบริษัทจะลดลงเหลือต่ำ 0.5 เท่า จากปัจจุบันที่ 1.1 เท่า ทำให้มีศักยภาพในการกู้เพิ่มขึ้น รวมถึงในปี 2566-2567 จะมีการพิจารณานำสินทรัพย์ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีกด้วย

error: Content is protected !!