องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(โออีซีดี) ประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี2563 พร้อมทั้งระบุว่า ยังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 อันเนื่องมาจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเพราะการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
การทำกิจกรรมทางธุรกิจทั่วโลกจะขยายตัวประมาณ 2.9% ในปีหน้า ลดลง0.1% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนก.ย. ส่วนในปี 2564 โออีซีดี คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 3.0% อีกครั้ง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโออีซีดีกล่าวว่า ช่วง2ปีที่ผ่านมาโอกาสและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการดำเนินนโยบายที่ไม่แน่นอน ประกอบกับปริมาณการค้าการลงทุนที่ซบเซา นอกจากนี้ยังบอกว่า ธนาคารกลางของประเทศต่างๆตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินเป็นระยะๆซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้บ้าง แต่รัฐบาลในหลายประเทศส่วนมใหญ่ ยังไม่มีการเคลื่อนไหวในระดับนโยบายการคลัง เช่น การลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น โออีซีดี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐ ที่ถือว่าเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก จะขยายตัวแค่2.0% ในปี 2564 ถือว่าขยายตัวลดลง เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น และประเทศสมาชิกยูโรโซน ที่ขยายตัวในอัตรา 0.7% และ 1.2% ตามลำดับ ขณะที่จีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ2ของโลก และเป็นคู่กรณีในสงครามการค้ากับสหรัฐ เศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยโออีซีดี คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่อัตรา 5.5% ภายในปี 2564
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในวันนี้ว่า สหรัฐใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับจีนในไม่ช้า อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายที่จะต้องรีบทำข้อตกลง เนื่องจากสหรัฐกำลังได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีน ทางด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจะร่วมมือกับสหรัฐในการทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน และความเท่าเทียมกัน และจีนไม่วิตก หากต้องต่อสู้กับสหรัฐ หนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่การค้าของสหรัฐและจีนกำลังใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก แหล่งข่าวระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันที่ 15 ธ.ค. ซึ่งเป็นกำหนดวันที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.56 แสนล้านดอลลาร์ แต่ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าก่อนวันดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่จะเลื่อนการจัดเก็บภาษีดังกล่าวออกไป เนื่องจากไม่ต้องการให้ผู้บริโภคของสหรัฐได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่จะพุ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟน หากมีการเรียกเก็บภาษีจากจีน ขณะที่ใกล้กับช่วงเทศกาลช็อปปิ้งของสหรัฐ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน และเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าของจีน ได้เชิญนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงปักกิ่ง